การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คืออะไร
การทำประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน เช่น การประกันอัคคีภัยการประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิด เมื่อเกิดความสูญเสีย หรือเสียหายเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยแล้ว ผู้เอาประกันภัยจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะตัวทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เท่ากับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือผู้รับประกันภัย อาจชดใช้เป็นเงินสด หรือโดยการซ่อมแซม ให้กลับสู่สภาพเดิม หรือสร้างให้ใหม่ตามข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า หากอัคคีภัยนั้นเกิดขึ้นต่อโรงงานที่ดำเนินการผลิต สินค้าใด ๆ ก็ตามนอกจากจะเกิดความเสียหาย ต่อทรัพย์สินแล้ว จะมีผลทำให้โรงงานนั้นต้องหยุดกิจการเพื่อมีการซ่อมแซมโรงงาน การผลิตก็หยุดชะงักลงในขณะที่ไม่มี การผลิตนั้นมีผลทำให้ยอดรายได้ของ เจ้าของธุรกิจลดลง ตัวอย่างเช่น โรงงานทอผ้าแห่งหนี่ง ทำประกันอัคคีภัยโรงงาน ไว้เต็มตามมูลค่าของทรัพย์สิน ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ ทำให้โรงงานเสียหาย 50% บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง 50% นั้น และเมื่อพิจารณาต่อไปว่า ขณะที่รอการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและซ่อมแซมโรงงานนั้น การผลิตก็จะหยุดชะงักลงซึ่งเป็นผลเสียหายสืบเนื่องจากเพลิงไหม้ทำให้เกิดผล ที่ตามมาคือ ยอดรายได้ของเจ้าของโรงงานลดลง ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ยังคงต้องจ่ายแม้จะไม่มีการผลิต เช่น ค่าเงินเดือน ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่า เป็นต้น แต่ค่าใช้จ่ายบางส่วนจะลดลง ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน เป็นต้น
ดังนั้น การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก จึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเจ้าของธุรกิจ
โดย หลักการแล้วการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองความสูญเสียในทางการค้า (รายได้ของผู้เอาประกันภัย) เมื่อธุรกิจต้องหยุดชะงักลง อันเป็นผลสืบเนื่องจากความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สิน ที่เอาประกันภัยไว้และเป็นทรัพย์สิน ที่มีผลต่อการค้าของ ผู้เอาประกันภัย วัตถุประสงค์ของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักคือ เพื่อทำให้ผู้เอาประกันภัย กลับสู่สถานะทางการเงินดังเดิม เสมือนหนึ่งมิได้มีอัคคีภัยหรือภัยอื่นๆ ที่เอาประกันภัยเกิดขึ้น
คำว่าธุรกิจหยุดชะงัก มีความหมายครอบคลุมเพียงใด
คำว่าธุรกิจหยุดชะงัก หมายถึง การที่โรงงาน/กิจการต้องหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราวเพื่อรอการซ่อมแซมหรือสร้างโรงงานใหม่ อันเป็นผลสืบเนื่องจากความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สิน
การประกันภัยหยุดชะงัก มีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีลัษณะอย่างไร เหมาะกับสภาพความเสี่ยงแบบใด
การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักมีแบบเดียว แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปได้แก่
- การประกันภัยกำไร (Profit Insurance)
- การประกันภัยรายได้ธุรกิจ (Business Income Coverage)
- การประกันภัยรายได้ (Income Insurance)
แต่ที่เป็นที่รู้จักและแพร่หลาย มี 2 ชื่อ คือ
- การ ประกันภัยความเสียหายสืบเนื่อง (Conscquentoal Loss Insurance) หมายถึง การประกันภัยความเสียหาย ทางการเงิน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความเสียหายทางวัตถุอันเกิดจากภัยที่เอาประกันภัยได้
- การประกันภัยการสูญเสียกำไร (Loss of Profit Insurance) เป็นคำที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีความหมายเหมือนกับ การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance) เป็นคำที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองคำนี้หมายถึงการประกันภัยความเสียหายอันเนื่องมาจาก การหยุดชะงักของธุรกิจจากเหตุการณ์อันไม่อาจ คาดการณ์ล่วงหน้าได้ เช่น เพลิงไหม้โรงงานเครื่องจักร เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรแล้วทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นต้น
ดังนั้น ธุรกิจใดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดดังกล่าวข้างต้น จึงควรทำประกันภัยประเภทดังกล่าวนี้
บริษัทประกันภัยใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการพิจารณาอัตราเบี้ยประกันภัย และการกำหนดวงเงิน คุ้มครองจะพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้าง
การกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก มี 2 วิธี คือ
-
- โดยวิธีผลรวมเป็นแบบเดิม
คำนวณจากกำไรสุทธิบวกด้วยภาระผูกพันทางการเงิน ได้แก่ ดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายคงที่หรือค่าใช้จ่ายประจำ (Standing Charges)
จำนวนเงินเอาประกันภัย = |
กำไรสุทธิ |
+ ค่าใช้จ่ายคงที่ที่ต้องการเอาประกันภัย |
|
+ ภาระผูกพันทางการเงิน |
กำไรสุทธิ หมายถึง รายได้ที่ขาดหายไปเมื่อเกิดการหยุดชะงักของธุรกิจ
ค่าใช้จ่ายคงที่และภาระผูกพันทางการเงิน เป็นสิ่งที่ผู้เอาประกันภัยยังคงต้องจ่ายแม้จะไม่มีการผลิตก็ตาม ค่าใช้จ่ายคงที่ ได้แก่ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าเสื่อมราคา ค่าสอบบัญชี เป็นต้น
ภาระผูกพันทางการเงิน ได้แก่ ดอกเบี้ยจ่าย เป็นต้น
- โดยวิธีผลต่าง เป็นแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
จำนวนเงินเอาประกันภัย = ยอดขาย (ยอดรายได้) – ต้นทุนขาย – ค่าใช้จ่ายผันแปร |
ยอดขายหรือยอดรายได้ หมายถึง เงินที่ผู้เอาประกันภัยได้รับแล้วหรือมีสิทธิ์จะได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าตามปกติของการดำเนินธุรกิจของผู้เอาประกันภัย ณ สถานที่ของผู้เอาประกันภัยนั้น
ต้นทุนขาย คำนวณได้จาก
บวก |
สินค้าคงเหลือต้นงวด |
สินค้าที่ซื้อเข้ามาระหว่างงวด | |
ต้นทุนสินค้าที่มีเพื่อขาย | |
หัก |
สินค้าคงเหลือปลายงวด |
ต้นทุนขาย |
ค่าใช้จ่ายผันแปร ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะลดลงหากยอดขายหรือจำนวนสินค้าที่ผลิต ปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
อัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจะแปรผันตามระยะเวลาของการชดใช้ (Indemnity Period)
ระยะเวลาของการชดใช้ (Indemnity Period) หมายถึง ระยะเวลาที่ผู้รับประกันภัยผูกพันที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่เกิดความเสียหายจนถึงวันที่ความเสียหายนั้นหมดไป หรือตามวันสิ้นสุดที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์